วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เราจะมาเล่าเรื่องราวของเจ้า กลูเทน ให้ฟังกัน



สวัสดีค่า วันนี้มาตามสัญญานะคะ เราจะมาเล่าเรื่องราวของเจ้า กลูเทน ให้ฟังกัน
กลายคนอาจสงสัยค่ะ ว่าเอ๊ ... กลูเทน มันคืออะไรนะ แล้วมันมีประโยชน์หรือโทษต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง และอาหารชนิดไหนมีหรือไม่มีกลูเทนกันแน่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจทั้งหมดไปพร้อมๆกันนะคะ
กลูเทนเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันโดยทั่วไป เป็นชื่อของโปรตีนที่มีอยู่ใน ธัญพืชจำพวกข้าวสาลีเกือบทุกสายพันธุ์, ข้าวไรย์, ข้าวบาร์เล่, และ ข้าวทริทิเคลี (เป็นพันธุ์ผสมระกว่างข้าวไรย์และข้าวบาร์เล่)
แล้วกลูเทนนั้นมีดียังไง? สารกลูเทนช่วยให้อาหารคงรูปในแบบที่มันเป็น ทำหน้าที่เป็นกาว (Glue-ten) ที่ช่วยยึดคิดให้อาหารเข้ากัน กลูเทนพบมากในธัญพืชประเภทข้าวต่างๆ และข้าวต่างๆก็ถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารที่พวกเรากินกัน



ธัญพืช 3 ประเภทที่มีกลูเทนมาก ได้แก่ ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เล่, และข้าวไรย์
ข้าวสาลีถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารต่างๆมากมาย ได้แก่
  • ขนมปัง
  • พวกขนมอบต่างๆ
  • ซุป
  •  เส้นพาสต้า
  •  ซีเรียล
  •  ซอสปรุงรสต่างๆ
  •  น้ำปรุงสลัด
  • อาหารประเภทแป้งและไขมันต่างๆ
ข้าวบาร์เล่ถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารประเภทต่างๆได้แก่
  •  ข้าวมอลต์
  • สีผสมอาหาร
  • ซุป 
  • น้ำส้มสายชูหมักมอลต์ 
  • เบียร์-
ข้าวไรย์ถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารประเภทต่างๆได้แก่
  • ขนมปังข้าวไรย์
  • เบียร์ที่เกิดจากการหมักข้าวไรย์
  • ซีเรียล
จริงๆแล้วกลูเทนนั้นอยู่รอบๆตัวเราเลยนะคะ เราทานอาหารจำพวกที่มีกลูเทนเข้าไปทุกวันๆ บางคนอาจสงสัยว่ามันมีประโยชน์หรือโทษอย่างไร วันนี้เรามาดูกันเลยนะคะ
กลูเทนนั้นมีข้อดีคือ ทำให้ขนมขึ้นฟู ทำให้อาหารมีประมาณเยอะขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม กลูเทนจะมีโทษแก้ผู้ที่แพ้กลูเทนค่ะ
โรคแพ้กลูเทนนั้นมีชื่อเรียกอย่างสวยหรูว่า Coeliac Disease ผู้ที่แพ้กลูเทนจะมีอาหาร เหมือนแพ้นม ก็คืออาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องผูก ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีผื่นคันตามร่างกาย สิวเห่อ (เกิดจากการที่ร่างกายแพ้กลูเทน และไม่สามารถย่อยไขมันได้ ทำให้ไขมันเข้าไปสะสมตามรูขุมขน และก่อให้เกิดสิวนั่นเอง) เหนื่อย อ่อนเพลีย เฉี่อยชา โลหิตจาง คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนังเพิ่ม เพราะร่างกายบวม โรคแพ้กลูเทนนั้นรักษาไม่ได้ค่ะ แต่อาหารจะรุงแรงแค่ไหนอันนี้จะแล้วแต่คนนะคะ เพราะบางรายก็แพ้ไม่มาก รักษาไม่หายขาด และต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูเทนไปตลอดชีวิตค่ะ ในบางรายที่น่างกายสามารถปรับเองได้ ก็จะค่อยๆทานอาหารที่มีกลูเทนได้อย่างทีละน้อยๆ เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพค่ะ
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานพวกข้าวที่มีกลูเทนต่างๆที่กล่าวไปข้างต้น และเส้นพาสต้า หรืออาหารที่ผ่านกระบวนการซับซ้อน รู้หรือไม่ว่าข้าวเจ้าของประเทศเรานี่แหละค่ะ ไม่มีกลูเทน เพราะฉะนั้น ทานได้ไม่อั้นจ้า
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารประเภทไหนมีหรือไม่มีกลูเทน?
โดยส่วนมากแล้ว ให้สังเกตุที่ฉลากอาหารนะคะ โดยให้ดูคำว่า Gluten-Free ได้เลยจ้า เมล็ดเชียของ Organic Valley ก็เป็น Gluten-Free นะคะ โดยสังเกตุได้จากด้านหลังกล่อง มีสัญลักษณ์ Gluten-Free จ้า

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Chia vs Basil seed (เมล็ดเชีย VS เม็ดแมงลัก)




สวัสดีค่า วันนี้เราจะมาแบ่งปันความรู้เรื่องเมล็ดเชียกันนะคะ มีลูกค้าหลายๆคนถามกันเข้ามาว่า เมล็ดเชียกับเมล็ดแมงลักเนี่ย มันเหมือนกันรึเปล่า เพราะด้วยหน้าตาที่คล้างคลึงกันมากอย่างกับฝาแฝด
จริงๆแล้วนะคะ เมล็ดเชียกับเมล็ดแมงลักเนี่ย เป็นคนละชนิดกันเลยค่ะ ไม่ได้เป็นญาติกันด้วยค่ะ ลองสังเกตุดีๆนะคะ เมล็ดแมงลักเนี่ยจะลักษณะคล้ายงาดำค่ะ เป็นเมล็ดทรงวงรีสีดำสนิด เหมือนงาดำเลยค่ะ
ต่เมล็ดเชียนั้น จะเป็นสีเทาๆหรือสีขาวๆ และมีรอยแตกค่ะ ลองดูที่รูปนะคะ จะสังเกตุได้ว่าจริงๆแล้วเมล็ดเชียกับเมล็ดแมงลักนั้น ไม่เหมือนกันค่ะ


 
ดูจากภายนอกกันไปแล้ว ทีนี้เรามาดูกันบ้างว่าถ้ามีคนเอาเมล็ดเชีย หรือเมล็ดแมงลัก แช่น้ำมาให้เรารับประทานเนี่ย เราจะสามารถบอกได้มั้ย ว่ามันคนละอย่างกัน
ให้สังเกตุนะคะ ว่าเวลาเรานำเมล็ดแมงลักแช่น้ำเนี่ย เค้าจะพอง ดูดน้ำ และจะมีเมือกสีขาวขุ่นอยู่รอบๆตัวนะคะ และเมล็ดแมงลักเวลาพองน้ำ ลองตักขึ้นมาดู มันจะไม่ยืดติดกันค่ะ
มื่อลองนำเมล็ดเชียแช่น้ำ และรอให้พองตัว ก็จะเห็นได้ว่า เมล็ดเชียนั้นเวลาโดนแช่น้ำจนอิ่มแล้ว จะพองตัวและมีเมือกเช่นเดียวกันกับเมล็ดแมงลัก แต่สิ่งที่ต่างคือ เมล็ดเชียที่พองน้ำแล้วนั้นเมือกของเค้าจะเป็นสีขาวใส และเมื่อลองใช้ช้อนตัดขึ้นมา ตัวเชียก็จะยืดๆ ไม่เหมือนเมล็ดแมงลักค่ะ





ที่นี้เรามาพูดถึงเรื่องเมนูอาหารที่คนนิยมนำมาประยุกค์ทำกันนะคะ
เมื่อพูดถึงเมล็ดแมงลักนั้น เมนูที่พวกเราคุ้นเคยกันดีก็คือ น้ำเต้าหู้ผสมเมล็ดแมงลัก ซึ่งอยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน หรือจะเป็นเมนูเต้าฮวยเมล็ดแมงลักทุกคนก็คงจะคุ้นเคยกันนะคะ เมื่อพูดถึงเมนูเมล็ดแมงลักนั้น ส่วนมากก็จะเป็นเมนูประเภทพวกเครื่องดื่มและของหวานที่เป็นน้ำๆทั้งหลาย
ซึ่งก็ไม่ได้มีมากนักค่ะ
ต่อไปเรามาดูเมนูที่ทำได้จากเมล็ดเชียกันนะคะ เมล็ดเชียนั้นเนื่องจากเวลาแช่น้ำแล้วจะได้ลักษณะเหนียวและสามารถยืดได้เพราะเมล็ดเชียเวลาพองตัว จะจับตัวรวมกัน ไม่แยกเหมือนเมล็ดแมงลัก
ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมานี้ของเมล็ดเชีย ทำให้เราสามารถนำไปสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลายมากกว่าเมล็ดแมงลักค่ะ เมล็ดเชียสามารถนำไปผสมได้ทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดื่มร้อน หรือเย็น หรือเครื่องดื่มประเภทปั่น เวลาทานก็ทานง่าย เพราะเมล็ดเชียนั้นไม่มีรสชาติใดๆ แถมยังได้เคี้ยวกรุบๆ อร่อยดีไปอีกแบบค่ะ
พูดถึงเมนูของคาวของเมล็ดเชียก่อนเลยนะคะ เราสามารถนำเมล็ดเชียที่แช่น้ำจนพองแล้วไปผสมได้กับเมนูอาหารต่างๆมากมาย ส่วนมากจะนิยมนำไปโรยหน้าสลัด เพราะช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารค่ะ บางคนก็ชอบนำไปผสมกับซอสประเภทต่างๆ และนำไปเสิร์ฟกับอาหาร ซึ่งก็อร่อยเก๋อย่างมีคุณค่าค่ะ
มาถึงเมนูของหวาน ซึ่งเป็นอะไรที่สาวๆโปรดปรานค่ะ เพราะว่าสาวๆทึกคนคงอยากทานของหวานกันแบบไม่อ้วนใช่มั้ยคะ ซึ่งเราสามารถนำเมล็ดเชียไปผสมในเมนูได้หลากหลายมากค่ะ เช่นแทนที่จะทำวุ้นเปล่าๆ หรือวุ้นกะทิ ลองหันมาทำวุ้นเชียทานดูมั้ยคะ อร่อยหนึบหนับ แถมยังได้สารอาหารมากมายนะคะ อีกเมนูที่เป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่ชาวต่างชาติก็คือแยมเมล็ดเชียค่ะ ซึ่งเป็นอีกวิธีนึงในการเพิ่มสารอาหารเข้าไปในมื้อเช้าของทุกคนค่ะ
ทีนี้ก็มาถึงเมนูสุดเฮลตี้ของสาวๆที่รักสุขภาพแบบขั้นสุดค่ะ นั่นก็คือสมูตตี้หรือน้ำผลไม้ปั่นนั่นเองค่ะ เราสามารถนำเมล็ดเชียที่พองน้ำแล้วมาผสมกันกับน้ำผลไม้ปั่นได้ค่ะ ก็จะยิ่งได้เมนูที่เป็นสุดยอดของสมูตตี้เลยทีเดียว สำหรับเมนูสมูตตี้ที่เป็นที่นิยมก็เป็นพวก ผลไม้ตระกูลเบอ์รี่ปั่นรวมกันค่ะ เพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้นมีวิตามินซีสูง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอีกด้วยค่ะ ยิ่งดีเข้าไปอีกถ้าเรานำสุดยอดอาหารอย่างเมล็ดเชียมาผสมด้วย ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยนะคะ

ทีนี้ มาดูความต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง เมล็ดเชียกับเมล็ดแมงลักกันนะคะ นั่นก็คือความแตกต่างทางด้านสารอาหารและโภชนาการ
สำหรับเมล็ดเชียนั้น มีทั้ง ไขมันโอเมก้า3 แม็กนิเซียม แคลเซียม เหล็ก สารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ เหมาะสำหรับผู้ทานมังสวีรัต แถมยังปราศจากกลูเทนอีกด้วยค่ะ บางคนอาจสงสัยกันว่ากลูเทนคืออะไรและคนที่แพ้สารกลูเทนมีอาหารอย่างไร คนที่แพ้สารกลูเทน (เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ได้จากการนวดแป้งนานๆ) อาการแพ้สารกลูเทนนั้น อาจมีความรุนแรงไม่เท่ากันแล้วแต่บุคคล ซึ่งในบางรายอาจจะมีอาการแพ้ที่ไม่รุนแรง และไม่รู้ตัวว่าแพ้กลูเทน อาการบางอย่างเช่น ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ขาดวิตามิน ทั้งๆที่ทานผักผลไม้เยอะก็ตาม ถ้ามีอาการเหล่านี้แล้ว ก็ต้องลองงดอาหารจำพวกที่มีกลูเทนแล้วแหละค่ะ เพราะบางทีเราไม่รู้ตัวเนอะว่าแพ้ ในรายที่แพ้กลูเทน เมื่อได้รับสารนี้เข้าไปแล้ว มันก็จะเข้าไปขัดขวางการย่อยสารอาหารต่างๆเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกินภาวะขาดสารอาหารค่ะ ลองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ Gluten Free นะคะ อย่างเมล็ดเชียของเราก็ได้รับเครื่องหมาย Gluten Free มาเช่นเดียวกัน รับรองได้เลยว่าปราศจากกลูเทนแน่นอนค่ะ
มาถึงคุณสมบัติของเมล็ดแมงลักกันบ้างนะคะ คือจริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเมล็ดแมงลักไม่ดีนะคะเพียงแต่เมล็ดแมงลักนั้นมีสารอาหารน้อยกว่าเมล็ดเชียค่ะ โดยเมล็ดแมงลักนั้นประกอบไปด้วย ไฟเบอร์ที่ช่วยย่อยได้ดีค่ะ มีสารคลายเครียด และช่วยให้ร่างกายภายในของเราเย็นลงค่ะ เห็นมั้ยคะว่าสารอาหารในเมล็ดเชียนั้นแตกต่างจากสารอาหารในเมล็ดแมงลักอย่างสิ้นเชิงค่ะ

ในตอนต่อไปเราจะมาพูดถึงสารกลูเทนแบบละเอียดกันนะคะ เพราะจริงๆแล้วหัวข้อในเรื่องของกลูเทนนั้นน่าสนใจมากค่ะ มีอาหารหลายอย่างที่เกิดจากการแพ้กลูเทน แต่เราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังแพ้สารชนิดนี้ เพราะทุกๆคนก็จะคิดว่าตัวเองทานอาหาร ปกติ ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แต่อย่าลืมนะคะว่ากลูเทนนั้นมีอยู่ในอาหารหลายอย่างมาก ในตอนหน้า เรามาดูกันนะคะ ว่าอาหารชนิดไหนมีกลูเทน กลูเทนคืออะไร และอาหารแพ้กลูเทนเป็นอย่างไรค่ะ

เมล็ดเชีย

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตอบคำถามจากผู้ต้องการคำตอบ



จากบทความที่แล้วมีผู้อ่านหลายท่าน มีคำถามเข้ามามากมาย เราได้รวบรวมคำถามเหล่านั้นมาตอบในกระทู้นี้ค่าเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในเมล็ดเชีย และบริการของทางร้านเรามากขึ้น

เมล็ดเชียคืออะไร


  • เมล็ดเชียเป็นธัญพืชที่มีแหล่งกำหนิดมาจากประเทศแถบอเมริกาใต้ ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดอาหาร เพราะในเมล็ดเชียนั้น มีสารอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆมากมาย ทั้งแคลเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส และ Omega-3 สูงมาก

เมล็ดเชียมีลักษณะ คล้ายคลึงกับเมล็ดแมงลัก ขนาดเท่ากัน แต่คุณค่าสารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดเชียนั้นมีมากกว่าเมล็ดแมงลักหลายเท่าเลยทีเดียวค่ะ


ประโยชน์ของเมล็ดเชีย


  • เชื่อมั้ยคะว่าในเมล็ดเล็กๆนี้ มีสารอาหารซ่อนอยู่มากมาย ทั้งแคลเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โปรตีน โอเมก้า-3 และไฟเบอร์ สารอาหารเหล่านี้จำเป็นต่อร่างกายของเราทั้งนั้นเลย และการทานเมล็ดเชียเพียงอย่างเดียวก็ได้รับสารอาหารต่างๆมากมายเลยค่ะ



เมล็ดเชียมีกี่เกรด


  • เมล็ดเชียมีหลายเกรดมากค่ะ ทั้งปลูกในไทย ปลูกแถบออกเตรเลีย ปลูกแถบยุโรป และแถบอเมริกาใต้ ซึ่งแถบอเมริกาใต้ก็แน่นอนเป็นแหล่งผลิตเมล็ดเชียที่ดีที่สุดในโลกค่ะ นอกจากประเทศที่ปลูกแล้ว ก็ยังมีเมล็ดเชียแบบออร์แกนิค และแบบไม่ออร์แกนิค ซึ่งสองอย่างนี้ต่างกันโดย แบบออร์แกนิคนั้งปลูกแบบไม่ใช้ยาฆ่าแมลงใดๆเลย

  • เมล็ดเชียของ Organic Valley นั้น เป็นแบบ Organic 100% ค่ะ



เมล็ดเชียนำเข้ามาจากที่ไหน


  • เมล็ดเชียของ Organic Valley นำเข้ามาจากประเทศโบลิเวีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเมล็ดเชียคุณภาพสูงที่สุดในโลก เมล็ดเชียของเราถูกปลูกอย่างพิถีพิถัน ในที่ราบสูง บนอุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโต ซึ่งจะได้เมล็ดเชียที่โตเต็มที่และมีคุณภาพสูงที่สุด



วิธีการเก็บรักษาเมล็ดเชีย


  • เก็บเมล็ดเชียในที่แห้งและเย็น สำหรับเมล็ดเชียขนาด 450 กรัม 1 กิโลกรัม เรามีถุงซิปล็อคมาให้นะคะ

  • สำหรับขนาด 150 กรัม เป็นถุงฟอยล์ซึ่งกันความชื้นได้เป็นอย่างดีค่ะ



รับประทานอย่างไร


  • รับประทานเมล็ดเชียได้กับขนม นม หรือกับข้าว สลัดผักต่างๆก็ได้ค่ะ แต่แนะนำให้แช่เมล็ดเชียให้พองตัวซะก่อนนะคะ โดยประมานเวลาก็ 10-15 นาทีคะ อาจจะนานกว่าเม็ดแมงลักษ์ นิดนึง เพราะถ้าทานโดยไม่ใช่น้ำก่อน เมล็ดเชียจะไปดูดน้ำในร่างกายของเราทำให้ท้องอืดได้ค่ะ

  • ในส่วนนี้เป็นแนวทางส่วนตัวนะค๊ะ ที่นำมาทำกินเองคือ แช่เมล็ดเชียให้พอง แล้วใส่น้ำผึ้งแท้ลงไป เพื่อเพิ่มรสชาตแล้วก็ไม่ทำให้อ้วนด้วยค๊ะเพราะเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวดึงไปใช้งานได้เลย แต่อย่าใส่เยอะเกินไปนะคะ

  • หรือถ้าไม่อยากทานเปล่าๆหรือผสมน้ำเชื่อมก็สามารถใส่ลงไปในโยเกิตก็ได้คะ เพื่อเพิ่มรสชาตของโยเกิตให้ละมุนลิ้นมากขึ้นเวลาเขี้ยวแล้วเหมือนยังได้รู้สึกว่าเคี้ยวอะไรไปบ้าง :0


ถ้าผู้อ่านได้รับความรู้อะไรจากบล๊อกนี้ไปบ้างก็ติดตามกันได้เรื่อยๆนะคะ ต่อไปก็จะนำสาระเรื่องอาหารสุขภาพและวิธีการทำอาหารสุขภาพมานำเสนอต่อไป